tag:blogger.com,1999:blog-15895407290652427542024-03-12T18:33:22.156-07:00AOMGADนางสาวรัตนา สังขกุลhttp://www.blogger.com/profile/12638676258999648123noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-1589540729065242754.post-71341024735892349922008-02-07T22:44:00.000-08:002008-02-07T23:21:50.970-08:00ภูมิปัญญาไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9dLIKgeT9Ot3lqHMbJAIAErxPxU3P1jgjOvTkbrzKFYKXMlncLJT5VSAfozGhM02OXDSkbyu7-shlcRA8ebbIHMHZ1HDjBDt_PCEAxqXrhW26vsvh5GQh_XINTKPP8KSEFga3WkncZg/s1600-h/DSCN0695c1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164504722840425666" style="WIDTH: 117px; CURSOR: hand; HEIGHT: 106px" height="135" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9dLIKgeT9Ot3lqHMbJAIAErxPxU3P1jgjOvTkbrzKFYKXMlncLJT5VSAfozGhM02OXDSkbyu7-shlcRA8ebbIHMHZ1HDjBDt_PCEAxqXrhW26vsvh5GQh_XINTKPP8KSEFga3WkncZg/s320/DSCN0695c1.jpg" width="169" border="0" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgafqHCfbeodLN6nE4qyiYQFqX4Z8JmtvPF-jMjKGxBZQyO3141DkpvkFiiUs6NKSACXCKg7ru4DqQUhpFehS1tqBvj2A7xop4ROtEjO5s_nJwVxumg_nnsKThvIRtbJDPl3FKL-cZA_Q/s1600-h/DSCN0660c1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164504636941079730" style="WIDTH: 91px; CURSOR: hand; HEIGHT: 109px" height="136" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgafqHCfbeodLN6nE4qyiYQFqX4Z8JmtvPF-jMjKGxBZQyO3141DkpvkFiiUs6NKSACXCKg7ru4DqQUhpFehS1tqBvj2A7xop4ROtEjO5s_nJwVxumg_nnsKThvIRtbJDPl3FKL-cZA_Q/s320/DSCN0660c1.jpg" width="142" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHJPFA8S0KinEVzMjdvKDzsW6gTOjuantNsP5Dk-XUTmC0pMHPQScH6njelZY-KBgfd03BoiqVtkLs5BvKaE_1Os6kFXeHQ31f3vRavSoYN7KmyJFAWYbRurywcpPwZatutlSO9YxgIg/s1600-h/DSCN0658c1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164504362063172770" style="WIDTH: 84px; CURSOR: hand; HEIGHT: 107px" height="119" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHJPFA8S0KinEVzMjdvKDzsW6gTOjuantNsP5Dk-XUTmC0pMHPQScH6njelZY-KBgfd03BoiqVtkLs5BvKaE_1Os6kFXeHQ31f3vRavSoYN7KmyJFAWYbRurywcpPwZatutlSO9YxgIg/s320/DSCN0658c1.jpg" width="105" border="0" /></a><br /><div><span style="font-size:85%;"><span style="color:#ffcc00;"></span></span><span style="font-size:100%;color:#ffcc00;">ภูมิปัญญาสาขาศิลปกรรมเครื่องปั้นดินเผา</span> <div><div><span style="font-family:courier new;font-size:78%;"><span style="color:#cc9933;">บ้านทุ่งหลวงเครื่องปั้นดินเผาของชาวทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาศในปัจจุบันมีความหลากหลายมากกว่าในอดีต จากรูปแบบดั้งเดิมที่ปั้นโอ่งไว้ใช้และจำหน่าย ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นกระถางปลูกต้นไม้ แจกัน โคมไฟ กระปุกออมสิน รูปสัตว์ต่าง ๆ ของตั้งโชว์ เป็นต้น การตกแต่งภาชนะใช้วิธีพิมพ์ลายเป็นส่วนใหญ่ โดยจะใช้ไม้สลักหรือไม้เนื้ออ่อน เขียนลวดลาย นำไปกดบนภาชนะให้เป็นลวดลาย เมื่อปั้นเสร็จใหม่ ๆ นอกจากนี้ก็มีการฉลุลายเป็นลายโปร่ง การเผาจะเป็นการเผาแบบโบราณ คือการเผาแบบเตาสุม ก่อนเผานำภาชนะที่เผาไปผึ่งแดดไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมงให้แห้ง เพื่อให้ภาชนะที่เผามีสีสวยงาม การเผาจะเผาทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งเช้าจึงจะนำเครื่องปั้นหรือภาชนะนั้นออกมาจากเตาเผา </span></span></div><div><span style="font-family:courier new;font-size:78%;color:#cc9933;">ศิลปินพื้นบ้านที่ทำชื่อเสียงให้เครื่องปั้นดินเผาบ้านทุ่งหลวงโด่งดังเป็นที่สนใจของประชาชนคือ คุณยายตี๋ เฮงสกุล หลังจากที่คุณยายตี๋ได้รับรางวัลดีเด่นในงานประกวดการแสดงศิลปะเครื่องปั้นดินเผาแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เมื่อพ.ศ. 2527 ทำให้งานเครื่องปั้นดินเผาของคุณยายตี๋ขายได้อย่างจริงจัง แม้คุณยายตี๋ เฮงสกุลจะถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังมีผู้สืบสานศิลปะการปั้นเครื่องปั้นดินเผาอำเภอทุ่งหลวงต่อไป เช่น คุณยายเนี้ยว ทองดี น้องสาวคุณยายตี๋ และชาวบ้านท่านอื่น ๆ เช่น คุณเฉลา อยู่กลัด ผู้ปั้นผลงานนางกวัก พระอภัยมณี นางเงือก หัวพญานาค ฯลฯ </span></div><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEjqcfkniENEB_p8oIcn-PUs3l1qpGkhRy1b3GMBot_jkH5MO74dZcSg0rShJHkfcCBxXDmuOx3ESRCN__ovMBrQwAc_ayUKmjKfgxHb3pzRUPnX-FDBw1hD9MZk2yfS0FFHtmRXkNPg/s1600-h/images.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164502347723510930" style="WIDTH: 142px; CURSOR: hand; HEIGHT: 137px" height="137" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEjqcfkniENEB_p8oIcn-PUs3l1qpGkhRy1b3GMBot_jkH5MO74dZcSg0rShJHkfcCBxXDmuOx3ESRCN__ovMBrQwAc_ayUKmjKfgxHb3pzRUPnX-FDBw1hD9MZk2yfS0FFHtmRXkNPg/s320/images.jpg" width="114" border="0" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPyqZWZ4aWvZ4vlhkCsvJ7ADZ9IiJGc5jTSGhdoNhFxc5eshosbqinHyJS3kSPb4P2IWn2rYA8uOMIHrCofiH2Kh2ZH_D72YdCDbTkYsCZ4xy8qvLZpTa-Wo2pmgc6huAbBdBAaUx4mQ/s1600-h/images.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164501999831159938" style="WIDTH: 148px; CURSOR: hand; HEIGHT: 137px" height="104" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPyqZWZ4aWvZ4vlhkCsvJ7ADZ9IiJGc5jTSGhdoNhFxc5eshosbqinHyJS3kSPb4P2IWn2rYA8uOMIHrCofiH2Kh2ZH_D72YdCDbTkYsCZ4xy8qvLZpTa-Wo2pmgc6huAbBdBAaUx4mQ/s320/images.jpg" width="122" border="0" /></a><span style="font-family:courier new;"> <span style="color:#3366ff;">ของดี ของงาม...ตามภูมิปัญญาไทย</span></span><a href="http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=1112&stissueid=2463&stcolcatid=2&stauthorid=105"><span style="font-family:courier new;color:#3366ff;">โคมแขวน</span></a><br /><div><br /><div><span style="font-size:78%;color:#3366ff;">สมัยนี้โคมอาจเป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งอาคารสถานที่ต่างๆ แต่สมัยก่อน ย้อนหลังไปไม่ต้องไกลหรอก เอาแค่กึ่งพุทธกาลนี่เอง โคมยังมีบทบาทอยู่สูงในฐานะเครื่องให้แสงสว่างในยามค่ำคืน แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร โคมงดงามเสมอ มีเสน่ห์ สีสันบรรยากาศชวนนึกถึงค่ำคืนในแผ่นดินล้านนา (ว่าเข้านั่น)<br />โคมทำมาจากไม้ไผ่กับกระดาษสา ผ่านการคิดอ่านแต่งสร้างมาสักเท่าไรไม่รู้จึงจะลงตัวอย่างที่เห็นๆ บางคนอาจบอกว่าไม่น่าเสียเวลาคิดเลย โคมจีนก็มี เราเองก็สันถวะเสพส้องกับจีนมานมนานกาเล สั่งซื้อเอาก็ได้ ง่ายดี<br />แต่คนโบราณอาจไม่คิดเหมือนเรา<br />ไม่แน่ใจว่าคนโบราณล้านนาคิดขึ้นเองหรือได้ไอเดียมาจากแว่นแคว้นแดนใด น่าจะคิดขึ้นเองมากกว่า เพราะความจำเป็นในการใช้สอยมีแล้ว วัตถุดิบในท้องถิ่นก็มีพรั่งพร้อมทั้งไม้ไผ่และกระดาษสา กรรมวิธีการเอาเยื่อสามาแช่น้ำแล้วช้อนแตะให้ติดกันเป็นแผ่นบางๆ ทำกันมาแต่ชั่วรุ่นไหนแล้วไม่รู้ อย่างน้อยคงทำเป็นตั้งแต่เริ่มรู้จักใช้ตัวหนังสือโน่นกระมัง<br />คงคิดๆ ฝันๆ แล้วลองผิดลองถูกกันมา อาจกินเวลาหลายชั่วคน แล้วค่อยลงตัวให้เราพบเห็นเป็นของดีของงามอย่างในปัจจุบันนี้<br />โคมมีหลายแบบ แบบที่เอารูปมาลงนี้เรียกว่าโคมแขวน ไม่ใช่โคมลอย มักจะแขวนไว้สูงๆ สุดปลายไผ่ปลายพร้าว ยามลมเหนี่ยวน้าวโคมแขวนแกว่งไหว หางไหวที่ห้อยย้อยลงมายาวๆ มักพลิ้วพะเยิบพะยาบเป็นภาพชวนฝัน แต่ดั้งเดิมสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้นั้น ข้างในโคมเขาใส่ผางประทีปเป็นเครื่องให้แสง เดี๋ยวนี้มีไฟฟ้าใช้ ต่อหลอดไฟเข้าใส่แล้วเปิดไฟสะดวกดี งาม เป็นส่วนผสมที่กลมกลืนระหว่างเก่ากับใหม่ มักพบเห็นทั่วไปในงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์นอกสถานที่<br />โคมแขวนเองก็มีหลายรูปหลายแบบ ใหญ่ๆ เล็กๆ แล้วแต่ประโยชน์ใช้สอยและความสามารถใน<br />การประดิดประดอย แต่เดิมมานั้นโคมแขวนไม่ใช่ของซื้อของขาย เป็นของทำได้เอง จะทำกันมากในช่วงเทศกาลยี่เพ็ง พอถึงคืนเพ็งพวกเราชาวบ้านนอกขอกแดนทั้งหลายจะจุดประทีปเรียงรายเต็มราวรั้วและเต็มหน้าบ้านชานเรือน ส่วนที่ประตูรั้วก็จะแขวนโคม นอกจากที่บ้าน พวกเรายังเอาไปแขวนเป็นพุทธบูชาไว้ที่วัด เดือนยี่เพ็งโดยทั่วไปจะมีงานใหญ่ที่วัด ไม่ใช่งานสนุกสนานรื่นเริงมีมหรสพอย่างปอยหลวง แต่เป็นงานหนักไปทางบุญ นั่นคือการตั้งธรรมหลวงหรือการเทศนาพระมหาชาติชาดกสิบสามกัณฑ์ เป็นงานใหญ่งานหลวงทรงความขลังศักดิ์สิทธิ์และวิจิตรอลังการมาก นอกจากขนมจ็อก ขนมปาด และข้าวต้มข้าวหนมอื่นๆ แล้ว ยี่เพ็งยังมีความคิดฝันมากมายให้แก่เด็กๆ เสียดายแต่เดี๋ยวนี้ประเพณียี่เพ็งจืดกร่อยและกลายรูปไปเกือบหมดแล้ว มีไม่กี่แห่งที่ยังจัดได้ตามความหมายดั้งเดิม<br />หากจะเล่าถึงปอยบุญยี่เพ็งก็จะยืดยาวล้นกรอบ ขอตัดแต่เพียงว่าโคมแขวนเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของยี่เพ็ง<br />ปัจจุบันแหล่งผลิตโคมใหญ่ๆ อยู่ที่บ้านเมืองสาตร ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พ่อครูแม่ครูผู้ทรงฝีมือในการประดิษฐ์โคมได้แก่พ่อน้อยสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร (คุณพ่อของคุณจรัล มโนเพ็ชร) แม่ครูบัวไหล บ้านเมืองสาตร พ่อครูเสถียร ณ วงศ์รักษ์ เป็นต้น</span></div><br /><br /><br /><p align="left"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164497807943078994" style="WIDTH: 188px; CURSOR: hand; HEIGHT: 149px" height="95" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin_CiyeDRhe34VyiSkqoqVmkexhyforklhnT-CHqa9ObzBUKo3MQK43PJOz_28VTO_SUzE6wtREfOGZd1uGwf3Ybt93QkbEBbnw3iOddm6JqmTx87XrEZY5VAUIdYby1dTmFfDr9Je0w/s200/images.jpg" width="198" border="0" /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1_0mYRYxuktUaDhd8vZ-sxUSLYzoLg2Z-XHh1lvZldQ_JsZlWmKqmQ5-SLsECSFs8MQgedA2yPm_1kr_z8El7opW2DOfze-Aju_UtM13P2TXC0roaC9NOsJxWUjOvi4TVrRP69keAtA/s1600-h/Q982.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5164499130793006194" style="CURSOR: hand" height="151" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1_0mYRYxuktUaDhd8vZ-sxUSLYzoLg2Z-XHh1lvZldQ_JsZlWmKqmQ5-SLsECSFs8MQgedA2yPm_1kr_z8El7opW2DOfze-Aju_UtM13P2TXC0roaC9NOsJxWUjOvi4TVrRP69keAtA/s320/Q982.jpg" width="197" border="0" /></a> <span style="font-family:courier new;font-size:78%;"><strong><span style="color:#006600;"><span style="font-size:85%;">ลูกประคบ ” ภูมิปัญญาไทยเพื่อคนไทย</span><br /></span></strong><br /><span style="color:#330033;">“สูงสุด คืนสู่สามัญ” คำกล่าวนี้ยังเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อ เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะเจริญก้าวไกลเพียงใด แต่ท้ายที่สุดมนุษย์ก็ต้องหวนกลับมาพึ่งพิงสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดการแสการนำสมุนไพร กับภูมิปัญญาไทยมาใช้ในการดูแลสุขภาพ เป็นเรื่องที่กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทยและชาวโลก หนึ่งในภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจและมีการใช้อย่างแพร่หลาย คือ “ลูกประคบ” ซึ่งมีสรรพคุณทั้งในด้านการบำบัดรักษาโรค ขณะเดียวกันก็สามารถนำไปใช้เพื่อดูแลสุขภาพความงามได้อีกด้วยลูกประคบเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีการใช้มาตั้งแต่อดีต ซึ่งสามารถทำใช้ได้อย่างง่ายๆ ด้วยการนำสมุนไพรมาห่อด้วยผ้าแล้วนำไปนึ่ง และนำมาประคบที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมักใช้ควบคู่กับการนวดแบบไทย โดยการทำการประคบหลังจากนวดเสร็จแล้วลูกประคบไทยมี 2 ชนิดคือ ลูกประคบสด และลูกประคบแห้ง ซึ่งมีความแตกต่างกันตรงที่ส่วนผสมของลูกประคบแห้งนั้นจะต้องนำไปตากแห้งก่อนที่จะนำมาตำรวมกัน และจะมีอายุการใช้งานนานกว่าลูกประคบสด คือสามารถเก็บได้เป็นเดือน ส่วนลูกประคบสดนั้นเก็บไว้ได้ประมาณ 10 วันเท่านั้น แต่ได้ผลดีกว่าการใช้ลูกประคบแห้งส่วนใหญ่แล้วลูกประคบจะประกอบด้วยสมุนไพร 9 ชนิด ที่มีสรรพคุณแตกต่างกันไป ช่วยให้ลูกประคบเป็นสมุนไพรที่เรียกได้ว่า เป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ เช่น เหง้าไพล ที่แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ ผิวมะกรูด ที่มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ตะไคร้ ที่มีกลิ่นหอมสดชื่น ใบมะขาม แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว ขมิ้นชัน ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง ใบส้มป่อย ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดันโลหิต เกลือแกง ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น การบูร บำรุงหัวใจ แก้พุพอง และ พิมเสน ช่วยบำรุงหัวใจ แก้หวัดส่วนผสมเหล่านี้ถูกนำมารวมกันโดยหั่นหัวไพล ขมิ้นชัน ต้นตะไคร้ และผิวมะกรูดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาตำพอหยาบๆ หลังจากนั้นนำใบมะขาม ใบส้มป่อย ผสมเข้าไป แล้วใส่เกลือกับการบูร คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ต้องระวังอย่าให้แฉะเป็นน้ำ แล้วนำไปใส่ผ้าดิบห่อเป็นลูกประคบ รัดด้วยเชือกให้แน่นการเก็บรักษาลูกประคบ ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะจะทำให้เก็บได้นานขึ้น และควรหมั่นตรวจลูกประคบ ถ้ามีกลิ่นบูดหรือเหม็นเปรี้ยว หรือถ้าลูกประคบไม่มีสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อนลง แสดงว่ายาที่ใช้มีคุณภาพน้อยลง จะใช้ไม่ได้ผล ควรเปลี่ยนลูกประคบใหม่ก่อนใช้ต้องนำลูกประคบไปนึ่งประมาณ 20 นาที ทั้งนี้ สำหรับลูกประคบแห้งจะต้องนำมาพรมน้ำพอหมาดๆ ก่อนที่จะนำไปนึ่งด้วย จากนั้นก็นำมาประคบในบริเวณที่ต้องการได้เลย แต่ต้องระวังอย่าใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะ กับบริเวณผิวหนังอ่อนๆ หรือบริเวณที่เป็นแผลอักเสบในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และในบุคคลที่เป็นอัมพาต เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเบาหวานความร้อนจากลูกประคบจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น อีกทั้งกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยให้เกิดความสดชื่น และผ่อนคลายความเครียดได้ด้วยนอกจากนี้ ลูกประคบยังสามารถนำไปใช้ในการอยู่ไฟของหญิงหลังคลอดบุตร ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้สนิท ลดไขมันหน้าท้องยุบ และช่วยให้น้ำคาวปลาไหลสะดวกมากขึ้น โดยใช้เวลาทำในตอนเช้าเพียงครั้งละไม่เกิน 3 ชั่วโมง และทำติดต่อกัน 3-5 วันเท่านั้นหลังจากการประคบสมุนไพร ไม่ควรอาบน้ำทันที เพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และอุณหภูมิของร่างกายยังปรับเปลี่ยนไม่ทัน อาจจะทำให้เป็นไข้ได้ลูกประคบกำลังเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ ทั้งจากยุโรป อเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศสโลเวเนีย เนื่องจากสรรพคุณที่หลากหลาย และยังสามารถนำเข้าได้ง่าย เนื่องจากไม่ขัดกับข้อตกลงของ FTA ด้วย เพราะสมุนไพรในลูกประคบไม่ถือเป็นตัวยา และไม่ต้องนำเข้าสู่ร่างกายการทำลูกประคบสามารถทำได้ง่ายๆ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง หรือทำเป็นอาชีพก็ได้ ผู้สนใจสามารถเข้ารับการอบรมได้ฟรี ภายในงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1” ที่จัดโดย กระทรวงสาธารณสุข ในวันที่ 1-5 กันยายน 2547 ที่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นอกจากนี้ ยังมีการอบรมระยะสั้นฟรีอีก 10 หลักสูตร ได้แก่ นวดตัวเองด้วยผ้าขาวม้า นวดในครัวเรือน ชี่กง อยู่ไฟ โยคะพื้นฐาน กดจุด นวดทารก เครื่องประทินผิว และเครื่องหอมไทย ฯลฯ สำรองที่นั่งโทร. 0-2591-7808-9</span></span></p></div></div></div></div>นางสาวรัตนา สังขกุลhttp://www.blogger.com/profile/12638676258999648123noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1589540729065242754.post-48495020792498564332007-12-03T19:50:00.000-08:002008-01-21T00:11:31.566-08:00นวัตกรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสนออาจารย์มงคล ภวังคนันท์<p align="center"><span style="font-family:courier new;color:#ffff00;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhp6RLdpPLzWKFyXvC26k7VjqdYJ23UXe0bjSBqtCDsJoHD4B1DG8fmyaIHtp_UQ8zPdriU8uxxnEMuCVUnbNWNcOWED6IWIWbrXj7uN7OMK7kyBTjbDkIlbcfRc1U90bmljE3O0ZlypA/s1600-r/21325.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5139954655931217010" style="WIDTH: 361px; CURSOR: hand; HEIGHT: 160px" height="214" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsxFpuWtd1WeLXE6mzPoMaHkO0izr3RgLsDLthZuKmo-Y7UsAxHnMFTJG2_OR4-t1f7exe8CoyNXhiKYdawKEQS4J5C48hjOQFbl8fE6BxbrSssBVhWhdjRwawoBgYbLeeq7-MDMGR_w/s400/21325.jpg" width="351" border="0" /></span></p></a><p align="left"><br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-family:courier new;"><span style="color:#3366ff;"><strong><span style="font-size:100%;"> 1. การทำฝนหลวง</span></strong><br />ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ โดยเครื่องบินพระที่นั่งเพื่อทรงเยี่ยมพระสกนิกรในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ทรงสังเกตเห็นว่ามีปริมาณเมฆมาก ปกคลุมตลอดพื้นที่ แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวจนเกิดเป็นฝนได้ ทั้งที่ช่วงนั้นเป็นฤดูฝน ประกอบกับมีพระทัยห่วงใยอยู่แต่เดิมว่าภาวะแห้งแล้งมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลและพระอัจฉริยะด้านวิทยาศาสตร์ของพระองค์จึงมีพระราชดำรัสให้ ม.ล.เดช สนิทวงศ์, ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล และ ม.จ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ร่วมกันค้นคว้าทดลองวิธีการที่จะทำให้เกิดฝนตกเพื่อเตรียมการแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้า โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์กับทรัพยากรที่มีอยู่<br />ด้วยเหตุนี้โครงการ ‘ฝนหลวง’ หรือ ‘ฝนเทียม’ จึงได้เกิดขึ้นโดยประยุกต์ผลการวิจัยค้นคว้าทางวิชาการด้านฝนเทียมของประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอิสราเอล ภายใต้การพระราชทานข้อแนะนำจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด พร้อมกับได้จักตั้ง ‘สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง’ ขึ้นเพื่อรับผิดชอบการดำเนินการฝนหลวงในระยะต่อมา หลังศึกษาค้นคว้านานถึง ๑๒ ปี ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จึงได้ทดลองโปรยสารเคมีเพื่อทดลองฝนหลวงเป็นครั้งแรก ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แต่ผลไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการนัก จึงมีการค้นคว้าปรับปรุงเรื่อยมาจนประสบความสำเร็จดังที่ปรากฏในปัจจุบัน<br />แม้ในขณะนี้โครงการฝนหลวงจะประสบความสำเร็จจนกลายเป็นต้นแบบให้หลายประเทศมาศึกษาดูงาน แต่ก็ยังค้นคว้าต่อเพื่อให้วิธีทำฝนพัฒนาก้าวหน้า โดยพระราชทานแนวความคิดไว้หลายประการ เช่น สร้างจรวดฝนเทียมบรรจุสารเคมียิงจากพื้นดินเข้าสู่ก้อนเมฆ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นทำการผลิตจรวดเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งหากทำสำเร็จ ไทยจะได้เป็นผู้นำของการทำฝนหลวงในภูมิภาคนี้ อีกวิธีหนึ่งที่กำลังค้นคว้าอยู่ก็คือ การใช้เครื่องพ้นสารเคมีอัดแรงกำลังสูงจากยอดเขาเข้าสู่ฐานของก้อนเมฆโดยตรง เพื่อช่วยให้เมฆที่ลอยปกคลุมอยู่เหนือยอดเขาสามารถรวมตัวหนาแน่น จนเกิดฝนตกสู่บริเวณภูเขาหรือพื้นที่ใต้ลมของภูเขาได้ </span></span></span></p><p align="left"><span style="font-family:Courier New;font-size:85%;"></span><span style="font-family:courier new;"><span style="font-size:85%;color:#3366ff;">สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้ดำเนินการยื่นขอจดสิทธิบัตรฝนหลวงในสหภาพยุโรปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยสหภาพยุโรปได้รับจดสิทธิบัตรเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ การยื่นขอจดสิทธิบัตรดังกล่าวในสหภาพยุโรป จะทำให้ฝนหลวงของพระองค์ได้รับการคุ้มครองถึง ๓๐ ประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติยังได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรฝนหลวงในสหรัฐอเมริกาด้วย<br /></span></p></span><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDLMLuZh-RM441KGkBkz74na6ujKV6gRG9ugtL12XLfCdwTdcta7OKnTzyby0UdUkBYvvBqRpVYc5WJvl1Ri14zy7E623ZjzxYBoSzpD1zUp1Y5Duv9ckj8RJ8yPVrReDTSM-bqrkBxA/s1600-r/21323.jpg"><span style="font-family:courier new;color:#3366ff;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5139959053977728146" style="WIDTH: 340px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" height="206" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVdRK_-R5QLPE-3Xhr2afIIzQfqgnOTM1eIee_yroeTfA0GiIGZkcwEK41vzgUKEvM46VxgNZo5_L5GaV-eCIRlaEHNa38SUi6GP7EHbZtMK6Wo8P4qyOEo1E7G80IQQaLOHt_5_yxmw/s400/21323.jpg" width="201" border="0" /></span></a><span style="font-family:courier new;font-size:85%;"></span></p><p align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:85%;color:#3366ff;">นอกจาก ‘ฝนหลวง’ จะนำความชุ่มฉ่ำละความหวังมาสู่ชีวิตเกษตรกรชาวไทยแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติด้วย เพราะหลายๆ ประเทศได้ทำหนังสือมายังสำนักฝนหลวงเพื่อขอพระราชทานฝนหลวงไปช่วยเหลือประชากรในประเทศที่ประสบภาวะแห้งแล้งด้วย เช่น อินโดนีเซียและประเทศในแถบตะวันออกกลาง ในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ ‘Brussel Eureka 2001 : 50 th World Exhibition Innovation, Research and New Technology’ ครั้งที่ ๕๐ ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔ ประเทศไทยได้ส่งผลงานประดิษฐ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๓ ผลงาน คือ โครงการทฤษฎีใหม่ โครงการฝนหลวง และโครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดน้ำมันปาล์ม เข้าร่วมแสดงในนิทรรศการนี้ด้วย ทั้ง ๓ โครงการได้รับสดุดีเทิดพระเกียรติคุณเป็นกรณีพิเศษ โดยได้รับรางวัล Gold Medal with Mention พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติ</span></p><br /><br /><p align="center"><span style="font-size:85%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie9b01s9VYwtAcVTM72AhkMUwbzGucRE6DstUz-UYa09L3c8MgCCwfDOiOtzUkqrkHX90iSRKcYJzfhXGgedFiWa_or2WkINCWl9aQTD8sZHLjtfeJ7c_1SBntyUmVcdP8Vspq-Y7IuA/s1600-h/rdp06.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5157831425953995714" style="WIDTH: 465px; CURSOR: hand; HEIGHT: 142px" height="59" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie9b01s9VYwtAcVTM72AhkMUwbzGucRE6DstUz-UYa09L3c8MgCCwfDOiOtzUkqrkHX90iSRKcYJzfhXGgedFiWa_or2WkINCWl9aQTD8sZHLjtfeJ7c_1SBntyUmVcdP8Vspq-Y7IuA/s400/rdp06.jpg" width="309" border="0" /></span></a></p><strong><span style="color:#33cc00;"><span style="font-family:courier new;"> 2. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้านคมนาคม/สื่อสาร</span></span></strong><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-family:courier new;font-size:85%;">โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านคมนาคม การสื่อสาร และเทคโนโลยีจะเกี่ยวกับการปรับปรุงถนนหนทาง ทั้งในชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เพื่อใช้สัญจรไปมาและนำสินค้าออกมาจำหน่ายภายนอกได้โดยสะดวก ซึ่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านคมนาม โครงการแรกคือโครงการสร้างถนนเข้าสู่หมู่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ (ปัจจุบันคือตำบลทับใต้) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนกระทั่งโครงการสะพานพระราม 8 ที่ได้พระราชทานแนวพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาการสัญจรของประชาชนในกรุงเทพมหานครให้ได้รับความสะดวกยังผลสู่ภาพรวมของประเทศทั้งด้านสังคม และเศรษฐกิจ ดังพระราชดำรัส</span></span><span style="font-family:courier new;font-size:85%;color:#33cc00;"> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ความว่า<br /><br />“สำหรับการจราจรเครื่องมือนั้นสำคัญที่สุดคือถนนก็ต้องมีถนนที่เหมาะสมทีเครื่องควบคุมการจราจรไม่ใช่เรื่องของรัฐศาสตร์ หรือของตำรวจ หรือของศาล เป็นเรื่องของวิศวกรรมก็จะต้องให้ดีขึ้น คือหมายความว่าทำให้ถนนดีขึ้น ให้สอดคล้อง ซึ่งเป็นการบ้านที่หนักสุด เพราะว่ากรุงเทพฯ ได้สร้างมาเป็นเวลา 200 ปีแล้ว ไม่ได้มีแผนผังเมืองที่จริงๆ จัง ก็มีการผังเมืองของทางการ แต่ว่าก็ไม่ได้ประโยชน์มากนักเพราะว่าคนไทย ตามชื่อคนไทย คืออิสระบังคับกันไม่ได้ จะสร้างอะไรก็สร้าง อยากจะสร้างเดี๋ยวนี้ก็สร้างก็ไปขวางกับคนอื่น คือขวางทางอื่นอันนี้ก็เลยแก้ไม่ได้...” </span><br /><span style="font-family:courier new;font-size:85%;"><span style="color:#33cc00;"><strong>โครงการสะพานพระราม 8</strong><br /></span><br /></span><span style="font-family:courier new;font-size:85%;"><span style="color:#33cc00;"><br /><br /></span><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIRmOE6fKXJul7CiCLprzBJzraODxrumFMLRDFlqLc9H4LvjW4s-sK7XREAocJWsmvb0oVjmLl78sOByN2DzklcVF3L2NrSuOrAq1WYrHn673d7d8HfmunSyCxcAg1mJdxIJGeFAJJcA/s1600-h/rdp07_6.jpg"><span style="color:#33cc00;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5157831563392949202" style="WIDTH: 480px; CURSOR: hand; HEIGHT: 171px" height="73" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIRmOE6fKXJul7CiCLprzBJzraODxrumFMLRDFlqLc9H4LvjW4s-sK7XREAocJWsmvb0oVjmLl78sOByN2DzklcVF3L2NrSuOrAq1WYrHn673d7d8HfmunSyCxcAg1mJdxIJGeFAJJcA/s400/rdp07_6.jpg" width="334" border="0" /></span></a></p><span style="color:#33cc00;">โครงการสะพานพระราม 8 หนึ่งในโครงการจตุรทิศ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริ ให้กรุงเทพมหานครพิจารณาก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง เมื่อปี 2538 ณ บริเวณโรงงานสุราบางยี่ขัน บรรจบกับปลายถนนวิสุทธิกษัตริย์ ใกล้ธนาคารแห่งประเทศไทย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า “โครงการสะพานพระราม 8” เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ 8” ด้วยทรงตระหนักถึงความคับคั่งของการจราจรบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในอนาคต อีกทั้งเป็นการแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ ระหว่างพื้นที่ฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรีที่ยังขาดการเชื่อมต่อที่เพียงพอทำให้เกิดการคับคั่งของการจราจร บริเวณพื้นที่ด้านตะวันออกโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ชั้นใน บริเวณถนนราชดำเนินราชดำเนินกลาง ซึ่งต่อกับฝั่งธนบุรีโดยผ่านสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าและถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักเส้นหนึ่งของฝั่งธนบุรีที่มีปริมาณการจราจรคับคั่งให้สามารถคลี่คลายลงได้</span><br /><br /><br /><br /><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS7nzavMV5RRFinOakobGhFxiQLPCrk0MxAihr_hCVcb4M4GobA_tz7xXc4MU59JMcqw0AEsLwvNkfCI-OZYxAeeL0_UUoolRjk0WJKDZ73R5arn4r3XVEowo3DN3VTNdC_MgXlYPe9g/s1600-h/rdp05.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5157834891992603650" style="WIDTH: 581px; CURSOR: hand; HEIGHT: 154px" height="91" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS7nzavMV5RRFinOakobGhFxiQLPCrk0MxAihr_hCVcb4M4GobA_tz7xXc4MU59JMcqw0AEsLwvNkfCI-OZYxAeeL0_UUoolRjk0WJKDZ73R5arn4r3XVEowo3DN3VTNdC_MgXlYPe9g/s400/rdp05.jpg" width="326" border="0" /></a></p><span style="color:#000099;"><strong><span style="font-size:100%;"> 3. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้านสาธารณสุข</span></strong><br />พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญกับงานสาธารณสุขเป็นอย่างยิ่งดังจะเห็นว่าโครงการที่พระราชทานให้กับประชาชนในระยะแรกๆ ล้วนแต่เป็นโครงการพัฒนาสุขภาพอนามัยให้แก่ประชาชน เมื่อประชาชนมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงจะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี และส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดีตามไปด้วย ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า<br /><br />“... การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดี และสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์ด้วย และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดี พร้อมทั้งร่ายกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นแต่ผู้สร้างมิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ</span><br /><span style="color:#000099;"><br /></span><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikLFNNo1VbVOQlqSx6Jy9BZwzQE6UgloZZYCRgsiKebzlquf2TLIZLJ2rpzxV_koaNdxIa_LgBTbOZQO14cvEefWpgxOmlJuct5XvlMpIMhhAGSEUY48Lt3xE0lt3G7DlSB1W1F_EXTQ/s1600-h/rdp07_5.jpg"><span style="color:#000099;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5157834127488424946" style="WIDTH: 429px; CURSOR: hand; HEIGHT: 126px" height="84" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikLFNNo1VbVOQlqSx6Jy9BZwzQE6UgloZZYCRgsiKebzlquf2TLIZLJ2rpzxV_koaNdxIa_LgBTbOZQO14cvEefWpgxOmlJuct5XvlMpIMhhAGSEUY48Lt3xE0lt3G7DlSB1W1F_EXTQ/s400/rdp07_5.jpg" width="307" border="0" /></span></a></p><span style="color:#000099;">แพทย์พระราชทานดังกล่าว จะจัดชุดทำงานตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้<br />ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่พระราชนิเวศน์ตั้งอยู่ ได้แก่ โรงพยาบาลสกลนคร โรงพยาบาลนราธิวาส และโรงพยาบาลค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ ตามเสด็จไปรักษาพยาบาลยังหมู่บ้านต่าง ๆ<br /><br /> การอบรมหมอหมู่บ้านตามพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน<br />พระราชดำริให้คัดเลือกราษฎรอาสาสมัครตามหมู่บ้านต่าง ๆ มารับการอบรมหลักสูตร “หมอหมู่บ้าน” โดยเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ทั้งนี้เพื่อให้ราษฎรที่ได้รับการอบรมเหล่านี้จะได้นำความรู้กลับไปช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นของตน การอบรมเน้นในเรื่องการสาธารณสุขมูลฐาน เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การเวชศาสตร์ป้องกันอย่างง่าย ๆ การโภชนาการ (โดยเฉพาะแม่และเด็ก) การติดต่อกับเข้าหน้าที่รักษาพยาบาลของรัฐคือ สถานีอนามัยจนถึงโรงพยาบาลอำเภอและจังหวัด เจ้าหน้าที่ที่มาให้การสนับสนุนในการอบรมหน่วยต่าง ๆ ทั้ง พลเรือน และทหาร ฝ่ายปกครองและฝ่ายการแพทย์ สถานที่ดำเนินการฝึกอบรมได้แก่ โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่พระราชนิเวศน์ตั้งอยู่ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสกลนคร โรงพยาบาลนราธิวาส และโรงพยาบาลค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ งานทั้ง ๒ ลักษณะข้างต้นมีพื้นที่ครอบคลุมในภาคเหนือตอนบน ประมาณ ๑๐ จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๘ จังหวัด คือ สกลนคร นครพนม อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร มหาสาคาม กาฬสินธุ์ เลย และในภาคใต้ ๔ จังหวัดคือ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา โครงการแพทย์พระราชทาน ซึ่งประกอบด้วย การบำบัดรักษาจากคณะแพทย์พระราชทานและอบรมหมอหมู่บ้าน เป็นการช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีอุปสรรคที่ระบบปกติยากจะดูแลได้ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎรส่วนใหญ่มีฐานะจากจน และขาดความรู้ในการดูแลรักษาตนเอง การมีคณะแพทย์พระราชทานออกไปบำบัดรักษาผู้ป่วยจะทำให้ราษฎรมีโอกาสได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องเสียทุนทรัพย์ใด ๆ และสำหรับการอบรมหมอหมู่บ้านนั้นจะช่วยให้ราษฎรมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและรู้จักวิธีติดต่อกับหน่วยราชการในกรณีที่เกินขีดความสามารถที่จะดูแลรักษาตนเองได้ อันเป็นการช่วยแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งอาจกล่าวสรุปได้ว่าโครงการหน่วยแพทย์พระราชทานสามารถแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ ดังนี้<br /></span><br /><span style="color:#000099;">๑. ทางด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งเป็นผลที่ได้รับโดยตรง จะช่วยแก้ปัญหาการเจ็บป่วย หรือทุพพลภาพได้ปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนมาก ราษฎรทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในการบำบัดรักษาจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทาน จะเป็นชาวชนบทที่ยากจนที่มีอาชีพเป็นการเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจากจำนวนตัวเลขที่ปรากฏในแต่ละปีจะมีราษฎรที่เจ็บป่วยจากทุกภาคที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทั้งที่เป็นคนไข้ในโรงพยาบาล และผู้ที่มาขอรับการตรวจ ตลอดจนจากการที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามเสด็จ ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ มีจำนวนมากมายนับหมื่นนับแสนคน<br />๒. ทางด้านเศรษฐกิจ การที่ราษฎรเจ็บป่วยจะเป็นปัญหาในการประกอบอาชีพของราษฎร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่จะต้องใช้กำลังกายในการทำงาน ดังนั้น เมื่อได้รับการบำบัดรักษาให้มีสุขภาพพลานามัยที่ดีแล้ว ราษฎรเหล่านั้นจะมีร่างกายที่สามารถต่อสู่กับงานหลักในการประกอบอาชีพได้ ยังผลให้เศรษฐกิจส่วนรวมของสังคมดีขึ้นอย่างแน่นอนพระมหากรุณาธิคุณทางด้านการแพทย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย ได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระองค์ทรงไม่ทอดทิ้งประชาชนและทรงนำพาประชาชนไปสู่ความมีสุขภาพที่ดีและอยู่ดีกินดีได้ในที่สุด<br /><br />“...ฉันต้องการให้หมอช่วยไปดูแล บำบัดทุกข์ให้แก่เด็กนักเรียนและประชาชนที่อยู่ในท้องที่กันดารห่างไกลหมอ และจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตามความจำเป็นโดยให้จัดหน่วยเคลื่อนที่ไปบนรถยนต์และตระเวนไปตามถนนหนทาง ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลชนบท...”</span></span><br /></span>นางสาวรัตนา สังขกุลhttp://www.blogger.com/profile/12638676258999648123noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1589540729065242754.post-56376748948998676432007-12-03T18:59:00.000-08:002007-12-03T22:58:09.976-08:00งานครั้งที่ 1 แบบฝึกหัดที่ 4 เสนออาจารย์มงคล ภวังคนันท์<span style="color:#ff6600;"></span><span style="font-family:courier new;"><strong><span style="color:#99ffff;"><span style="font-family:verdana;">แบบฝึกหัดหน่วยการเรียนที่ 4 การสื่อความหมาย<br /></span></span><br /></strong></span><div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>1. คำว่า Communis แปลว่า คล้ายคลึง หรือ ร่วมกัน</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>2. การสื่อความหมาย หมายถึง กระบวนการส่งหรือถ่ายทอดความรู้ เนื้อหา สาระ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะ ตลอดจนประสบการณ์จากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผู้ส่ง” ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผู้รับ”</strong></span></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5XNI9B3Y6oluyg-BeG22LqJ0hizSTOqfbYHKwm3r0S4ZudrAddRn-zbGzw4OUw3IOQt1uZra5hW7XA9VlkuWpAsRn8neJsFY1rh0u4YTa5M4llH7iTBi5ZN0y-NQQRKIr2-a3aVVCwQ/s1600-r/à¸à¸²à¸£à¸à¹à¸²à¸+2.jpg"></a><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>3.</strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5XNI9B3Y6oluyg-BeG22LqJ0hizSTOqfbYHKwm3r0S4ZudrAddRn-zbGzw4OUw3IOQt1uZra5hW7XA9VlkuWpAsRn8neJsFY1rh0u4YTa5M4llH7iTBi5ZN0y-NQQRKIr2-a3aVVCwQ/s1600-r/à¸à¸²à¸£à¸à¹à¸²à¸+2.jpg"></a></div><br /><p align="left"><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5XNI9B3Y6oluyg-BeG22LqJ0hizSTOqfbYHKwm3r0S4ZudrAddRn-zbGzw4OUw3IOQt1uZra5hW7XA9VlkuWpAsRn8neJsFY1rh0u4YTa5M4llH7iTBi5ZN0y-NQQRKIr2-a3aVVCwQ/s1600-r/à¸à¸²à¸£à¸à¹à¸²à¸+2.jpg"><strong><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5139944197685851218" style="WIDTH: 211px; CURSOR: hand; HEIGHT: 20px" height="25" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPn3cyRPQan7AIYU6g9DmwugfWpz1BwcGfJvt1M4PbDaTq7KNM5ldqRZAv-Do1ei7mrGgXZordjFx_kC_TCgjIXnXqAeFD2tnWUkdmrEk-FcC4m9Fp1nk54KicsgcRE-MCdgknBISpng/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599+2.jpg" width="218" border="0" /></strong></a></span></p><p align="left"><br /><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>4. สาร หมายถึง เนื้อหา สาระ ความรู้สึก ทัศนคติ ทักษะ ประสบการณ์ ที่มีอยู่ในตัวผู้ส่ง หรือแหล่งกำเนิด<br /></strong></span></p><p align="left"><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>5. Elments หมายถึง องค์ประกอบย่อยๆ พื้นฐานที่จำเป็นต้องมีตัวอย่าง เช่น สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ หรือสีแดง สีเหลือง เป็นต้น</strong></span></p><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>6. Structure หมายถึง โครงสร้างที่เกิดจากการนำเอาองค์ประกอบย่อยๆ มารวมกันตัวอย่าง เช่น คำ ประโยค หรือสีสันของรูปร่าง รูปทรง ฯลฯ</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>7. Content หมายถึง ข้อมูลที่เป็นความรู้สึกนึกคิดความต้องการของผู้ส่งตัวอย่าง เช่น จะทำอย่างไรให้ผู้รับสารเข้าใจเกี่ยวกับสารให้มากที่สุด</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>8. Treatment หมายถึง วิธีการเลือก การจัดรหัส และเนื้อหาให้อยู่ในรูปแบบที่จะสามารถถ่ายทอดความต้องการของผู้ส่งไปยังผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น แชมพูที่มี Treatment เพื่อไว้บำรุงผม แต่ในที่นี้หมายถึงรูปแบบของการสื่อความหมาย (Style)</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>9. Code หมายถึง กลุ่มสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาจัดแทนความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ตัวอย่าง เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ดนตรี ภาพวาด กิริยาท่าทาง ฯลฯ</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>10. อุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงดังรบกวน อากาศร้อน กลิ่นไม่พึงประสงค์ แสงแดด ฝนสาด ฯลฯ</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>11. อุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายใน เช่น ความเครียด อารมณ์ขุ่นมัว อาการเจ็บป่วย ความวิตกกังวล ฯลฯ</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>12. Encode หมายถึง ผู้ส่งสารขาดความสามารถในการเข้ารหัส หรือแปลความต้องการของตนเป็นสัญลักษณ์หรือสัญญาณต่างๆ ได้</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>13. Decode หมายถึง ผู้รับสารขาดความสามารถในการถอดรหัสสาร อันเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้ 1. อุปสรรคด้านภาษา (Verbalism)2. ความขัดแย้งกับประสบการณ์เดิม (Referent Confusion)3. ขีดจำกัดของประสาทสัมผัส (Limited Perception)4. สภาพร่างกายไม่พร้อม (Physical Discomfort)5. การไม่ยอมรับ6. จินตภาพ (Image) ไม่ตรงกันกับผู้ส่งสาร</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>14. จงอธิบายการสื่อความหมายในการเรียนการสอนมาให้ครบถ้วนและถูกต้อง กระบวนการเรียนการสอนเป็นกระบวนการสื่อความหมายอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้</strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc7BsWT8BOZozr1gBCUNa2P8tQaeG35mGUMT_FFtJ12Q7ZfCkIz9E0VnE11rlhxLDdWnqypnlP67lRomCGskdMASPX7OIe6mDLKHRJdcSB5h1Gfhs9WgJENNemCilN6XxFmym7F2lHng/s1600-r/à¸à¸²à¸£à¸à¹à¸²à¸.jpg"><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5139945481881072738" style="WIDTH: 342px; CURSOR: hand; HEIGHT: 77px" height="65" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2_DFXouoxIEMeJcyzskA6Z0_C7t1cWYxdojgokQbj7X5T0aJkmq_Nh52GcCDsM0ypEPIZj04e1PK-WGPC6_n8kFzOK6n4UJZTzVW8dOV1eURaOWJAhhl91xx2DGMDw3MaWxIxLSZYUw/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599.jpg" width="308" border="0" /></strong></span></a><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><br /></span><div><a href="http://bp3.blogger.com/_RPhHp8QipqA/R1A1_cdsIKI/AAAAAAAAAIQ/oaQwzjTncEo/s1600-R/à¸à¸²à¸£à¸šà¹‰à¸²à¸™.jpg"><strong></strong></a></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>15. จงอธิบายถึงความล้มเหลวของการสื่อความหมายในการเรียนการสอน กระบวนการเรียนการสอนมักจะประสบความล้มเหลวบ่อยๆ เนื่องจากอุปสรรคหลายประการดังนี้ </strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>1. ครูผู้สอนไม่บอกวัตถุประสงค์ในการเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อนลงมือสอน ทำให้ผู้เรียนขาดเป้าหมายในการเรียน</strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>2. ครูผู้สอนไม่คำนึงถึงข้อจำกัดและขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน จึงมักใช้วิธีสอนแบบเดียวกันทุกคน</strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>3. ครูผู้สอนไม่สนใจที่จะจัดบรรยากาศ ขจัดอุปสรรคและสร้างความพร้อมแก่ผู้เรียนก่อนลงมือสอน</strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>4. ครูผู้สอนบางคนใช้คำยาก ทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจความหมายของคำ และเนื้อหาโดยรวม</strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>5. ครูผู้สอนมักนำเสนอเนื้อหากวน สับสน รวดเร็ว ไม่สัมพันธ์ต่อเนื่อง กระโดดไปมาทำให้เข้าใจยาก</strong></span></div><div><span style="font-family:verdana;font-size:85%;color:#ffffff;"><strong>6. ครูผู้สอนไม่สนใจที่จะใช้สื่อการสอนหรือเลือกใช้สื่อการสอนไม่เหมาะสมกับเนื้อหา และระดับของผู้เรียนดังนั้นในกระบวนการเรียนการสอนจึงควรคำนึงถึงอุปสรรคต่างๆ และพยายามขจัดให้หมดไป เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</strong></span></div></div>นางสาวรัตนา สังขกุลhttp://www.blogger.com/profile/12638676258999648123noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1589540729065242754.post-19930602673274157762007-11-27T20:41:00.000-08:002007-12-10T22:08:18.186-08:00มือถือ นวัตกรรมที่พัฒนาไม่หยุดยั้ง เสนอ อาจารย์ชวน ภารังกูล<span style="font-family:courier new;"><strong><span style="font-size:85%;color:#000066;">มือถือพัฒนาการไม่หยุดยั้ง นวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง</span></strong><span style="font-size:85%;color:#000066;"><br />นับตั้งแต่โทรศัพท์เคลื่อนที่กำเนิดขึ้นมา มนต์เสน่ห์ของการส่งข้อความยังไม่มีแนวโน้มจืดจาง แถมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เอื้อให้สามารถส่งภาพพร้อมเสียงยังจะทำให้ผู้คนหันมาสนใจการสื่อสารรูปแบบนี้มากขึ้น บริษัทวิจัยฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ชฯ คาดการณ์อีก 5 ปีข้างหน้า คนยุโรปจะส่งข้อความกันเดือนละ 17,000 ล้านข้อความ ในเอเชียการส่งข้อความได้รับความนิยมเช่นกัน โดยเฉพาะในญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่คลั่งไคล้การส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์จนได้ฉายา "Thumb Tribe" หรือชนเผ่าหัวแม่มือ ส่วนในสหรัฐ วัฒนธรรมการส่งข้อความถึงกันทางโทรศัพท์ไม่แรงเทียบเท่าเอเชียและยุโรป ล่าสุดการส่งข้อความกำลังกลายเป็นรูปแบบการสื่อสารที่มาแรงในกลุ่มคนพิการที่หูหนวกและเป็นใบ้ ย่อคีย์บอร์ดลงคีย์แพด หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกคับข้องใจทุกครั้งในการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เนื่องเพราะต้องคอยกดไล่หาตัวอักษรเรียงตามลำดับจากปุ่มตัวเลขซึ่งแต่ละปุ่มจะมี 3-4 อักษร กว่า จะ เรียบเรียงได้แต่ละประโยคก็เล่นเอาเกร็งนิ้วเสียเมื่อยแถมยังใช้เวลาอีกต่างหาก เคยคิดใช่ไหมว่าหากปุ่มหนึ่งปุ่มแทนตัวอักษรแต่ละตัวเหมือนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ก็คงจะดีกว่านี้มาก บริษัทดิจิตอล ไวร์เลสฯ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในสหรัฐก็คิดเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงได้สร้างสรรค์คีย์แพดนวัตกรรมใหม่ที่แม้จะคง 12 ปุ่มไว้ตามเดิมบน พื้นที่ขนาดพอๆ กับนามบัตร แต่ดิจิตอล ไวร์เลสได้ออกแบบคีย์แพดรุ่นใหม่ให้มีปุ่มตัวอักษรทั้ง 26 ตัวแทรกครบครันทั้งแนวตั้งและแนวนอนของช่องว่างระหว่างปุ่มตัวเลข และเครื่องหมายต่างๆ ทีมงานที่คิดค้นนวัตกรรมนี้เผยว่าแม้จะเป็นปุ่มแทรกตามช่องว่างของปุ่มตัวเลขเดิมแต่ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับกดปลายนิ้วและไม่กระทบโดนปุ่มอื่น เมื่อแต่ละปุ่มแยกเป็นเอกเทศอย่างนี้จึงทำให้ผู้ใช้โทรศัพท์สามารถพิมพ์ข้อความได้เร็วกว่าเดิม 2 เท่า เดวิด เลวี่ ผู้ก่อตั้งดิจิตอล ไวร์เลส กล่าวว่าแต่ละปุ่มแทบจะมีลักษณะไม่ต่างจากปุ่มบนคีย์บอร์ดมาตรฐานของคอมพิวเตอร์เลย แม้ผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่หลายรายจะพยายามทำให้การส่งข้อความรวดเร็วขึ้นโดยการนำซอฟต์แวร์บางโปรแกรมมาใช้ อาทิ ซอฟต์แวร์ที่สามารถทำนายคำแม้ผู้ใช้จะพิมพ์ยังไม่จบประโยคก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เร็วขึ้นเท่าใดเมื่อเทียบกับการใช้ "ฟาสแท็ป" ก่อนที่จะมาตั้งบริษัทเป็นของตนเอง เลวี่เคยทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมของบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ฯ เป็นเวลา 5 ปี และได้รับอิทธิพลค่อนข้างมากจากดีไซน์ของคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปรุ่น "พาวเวอร์ บุ๊ก" เลวี่กล่าวว่าเขาออกแบบ "ฟาสแท็ป" โดยมีทฤษฎีการออกแบบผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลเป็นแบบอย่าง นั่นคือการออกแบบของใช้ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เลวี่กล่าวว่า คีย์แพดแบบเดิม 12 ปุ่ม เป็นรุ่นที่ใช้มานานหลายสิบปีแล้ว แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ล้าสมัยและใช้งานยาก ดังนั้นจึงเชื่อว่า "ฟาสแท็ป" จะได้รับความนิยมจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ต้องการสร้างรายได้เพิ่มโดยกระตุ้นให้สมาชิกใช้บริการส่งข้อความมากขึ้น คาดว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่นวัตกรรม "ฟาสแท็ป" รุ่นแรกซึ่งผลิตโดยบริษัท ฟิวเจอร์คอม โกลบอล ในสหรัฐจะวางตลาดเป็นครั้งแรกในปลายปีนี้ เลวี่เผยดิจิตอล ไวร์เลสได้เจรจากับผู้ผลิตโทรศัพท์หลายราย คาดว่าปีหน้าจะมีโทรศัพท์ที่ใช้ "ฟาสแท็ป" หลากหลายรุ่นจากหลายค่ายออกสู่ตลาด และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการผลิต "ฟาสแท็ป" เป็นหน้ากากสำหรับครอบทับโทรศัพท์รุ่นเดิมที่มีอยู่ </span></span>นางสาวรัตนา สังขกุลhttp://www.blogger.com/profile/12638676258999648123noreply@blogger.com0